2610 จำนวนผู้เข้าชม |
ไม้แปรรูป ในท้องตลาดมีกี่แบบ เทคนิคในการเลือกซื้อไม้แปรรูป
ไม้แปรรูป คือ ไม้ที่ได้ทำการแปรรูปมาจากไม้ท่อนซุงโดยที่ได้ทำการผ่านการเลื่อยหรือการถากมา เพื่อที่จะนำ ไม้แปรรูปนี้ ไปใช้ในการก่อสร้าง ทำอุปกรณ์ใช้งานต่างๆ หรือนำไปแปรรูปเพื่อไปใช้ประโยชน์ในงานอื่นๆ และสำหรับไม้แปรรูปที่ทำมาจากท่อนซุงที่มีขนาดเล็กนั้น สามารถที่จะแปรรูปไปเป็นเสาได้ แต่หากว่าไม้แปรรูป ที่มาจากไม้ซุงท่อนใหญ่ๆ และต้องการที่จะแบ่งไม้ท่อนนั้นออกเป็นส่วนๆ ต้องพึ่งเลื่อยในการตัดท่อนไม้ โดยเลื่อยที่ใช้แรงคนในการตัดนั้นเรียกว่าเลื่อยแบบชัก และหากเป็นโรงเลื่อยจักรก็จะมีเลื่อยให้เลือกใช้หลายแบบ เช่น เลื่อยชัก เลื่อยสายพาน และเลื่อยวงเดือน เป็นต้น
ไม้แปรรูปแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. ไม้เนื้ออ่อน คือไม้ที่มีระยะเวลาการเจริญเติบโตเร็วทำให้มีวงปีที่กว้าง ลายไม้ที่ได้จึงน้อยและไม่ละเอียด เนื้อไม้เลยมีความแข็งแรงทนทานน้อยกว่าไม้เนื้อแข็ง ไม้ชนิดนี้จะมีสีของไม้แตกต่างกันออกไปมาก ตั้งแต่ไม้ที่มีสีจาง อ่อนไปจนถึงสีเข้ม เนื้อไม้ไม่แข็งมากจึงไม่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนของโครงสร้างที่ต้องการรับน้ำหนัก และเนื่องจากเนื้อไม้อ่อนทำให้นิยมนำมาใช้สำหรับงานตกแต่งภายในหรือเฟอร์นิเจอร์หรือโครงสร้างที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมากแต่ก็ไม่เหมาะที่จะใช้กับงานภายนอกที่ต้องตากแดดตากฝน เช่น ไม้ฉำฉา (ไม้จามจุรี) เนื้อไม้หยาบสีออกขาว น้ำหนักเบาทำการเลื่อย ไส ผ่า และ ขัดเงาได้ง่ายนิยมใช้ทำลังปัจจุบันมีการนำมาใช้ในงานตกแต่งและทำเครื่องเรือนต่างๆ มากขึ้น และรวมถึง ไม้มะม่วง ไม้ทุเรียน ไม้ขนุน เรียกได้ว่าเป็นหัวไร่ปลายนา เกิดจากการที่หาได้ง่าย มีมากและราคาถูก แต่เนื่องจากเป็นไม้เนื้ออ่อน จำเป็นต้องนำมาผ่านกรรมวิธีอัดน้ำยากันปลวกและอบแห้ง จึงสามารถนำมาใช้งานได้ดี ส่วนใหญ่จึงนิยมนำไม้มาทำ เฟอร์นิเจอร์ เพราะเนื้ออ่อน ไส ตัด ตกแต่งได้ง่าย เช่น ไม้ยาง ไม้สน ไม้ฉำฉา ไม้กระท้อน ไม้ยาง ไม้โมก ไม้ยมหอม ไม้จำปาป่า วิธีสังเกตคือ ไร้รูพรุน ผิวเนียน และยืดหยุ่น มีสีซีดจาง เหมาะกับการใช้ในงานตกแต่งแบบชั่วคราว ไม่ต้องการความแข็งแรงมาก
2. ไม้เนื้อแข็ง ไม้เนื้อแกร่ง ไม้ชนิดนี้จะมีวงปีมากกว่าไม้ชนิดอื่น เนื่องจากระยะเวลาเติบโตช้าและไม้ต้องมีอายุมากถึงจะนำมาใช้งานได้ ไม้ชนิดนี้ส่วนใหญ่จะมีเนื้อไม้ที่มีสีเข้ม มีความเหนียวและแข็งแรงมาก จึงมีความทนทานสามารถนำมาใช้กับงานภายนอกที่ต้องตากแดดตากฝนได้ดี ถึงแม้ว่าไม้เนื้อแข็งจะมีข้อดีคือ แข็งแรงและทนทาน แต่ก็มีข้อเสีย คืออาจเกิดการบิดตัวของไม้เมื่อเวลาเกิดความชื้น ความร้อน หรืออุณหภูมิเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ไม้หดและขยายตัวได้ ซึ่งไม้เนื้อแข็งทุกชนิด ส่วนใหญ่ก็จะเกิดการบิดตัวเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกัน มักจะนำมาใช้ในการทำโครงสร้างของบ้าน เช่น เสาหรือคานบ้าน ที่จำเป็นต้องรับน้ำหนักมากๆ เช่น ไม้สัก ไม้ประดู่ ไม้ตะแบก ไม้ตะเคียนทอง ไม้เต็ง ไม้ตะแบก เป็นต้น วิธีสังเกตคือ เนื้อไม้จะมีผิวหยาบ มีรูพรุนขนาดเล็ก-ใหญ่ สีค่อนข้างเข้ม ไปทางสีแดง
3. ไม้ต่างประเทศ จะเป็นไม้เนื้ออ่อนซึ่งจะนิยมนำมาใช้เป็นไม้สำหรับงานตกแต่งเพื่อความสวยงาม ถ้าเป็นไม้สำหรับงานโครงสร้าง นิยมใช้ไม้สน เนื่องจากเป็นไม้โตไวและมีมาก ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีกรรมวิธีพัฒนาคุณสมบัติของไม้เพื่อให้มีความแข็งแรงทนทานมากขึ้นเพื่อนำมาใช้งานได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย เช่น ไม้สน ไม้แอช ไม้บีช ไม้โอ๊ค ไม้เมเปิ้ล ไม้มะฮอกกานี ไม้เชอรี่ ไม้วอลนัท ไม้เวงเก้ง ไม้ทิวลิป เป็นต้น เป็นที่นิยมให้การนำไปทำ เฟอร์นิเจอร์ ตกแต่ง ภายในบ้าน ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ ตู้ เตียง เป็นต้น
ในการเลือกใช้ไม้แปรรูปอันดับแรกให้ดูที่ทิศทางของเสี้ยนไม้ เนื่องจากในส่วนนี้จะมีผลที่ชัดเจนในอนาคตต่อทิศทางการรับแรง การขยายตัวหรือหดตัวนั่นเอง และให้ดูและคำนึงถึงการขยายตัวและหดตัว ซึ่งจะมีมากน้อยตามลักษณะของการแปรรูป ซึ่งถ้าอยากจะเลือกไม้แปรรูปให้เป็น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ไม้ที่ต้องการหรือมองหาอยู่นี้มันเป็นอย่างไร คือต้องดูตามลักษณะการใช้งาน ทั้งความสวยงาม ความแข็งแรง ความทนทานต่อสภาพการใช้งาน เพราะไม้แต่ละชนิดมีสีสันและลวดลายแตกต่างกัน ควรคำนึงถึงลักษณะการใช้งาน เช่น ใช้งานภายนอก หรือภายใน ต้องกาความแข็งมากหรือน้อยเพื่อสะดวกในการใช้งาน